วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แบกเป้ตามใจฉัน สไตล์ดอกไม้ทะเลทราย
 เบาๆตามประสา เสียมเรียบ- พนมเปญ- โฮจิมินซิตี้ 4-8 มค 56


แผน

นั่งรถยาวจากหมอชิต  เข้าไปเสียมเรียบ เลาะไปพนมเปญ ขำขำ ชิวต่อที่โฮจิมินต์ บินกลับไทย 
ออกเดินทางคืนที่ 4 ค่ะ จากหมอชิต ไปถึงเสียมเรียบเช้ามืด ราคา 750 บาท ไปถึงเช้ามืดวันที่ 5 
ก็ไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ปราสาท บายน ไรงี้ เที่ยวรอบๆ นครวัดเลย นอนที่เสียมเรียบ 1 คืน 
แล้วเช้าวันที่ ไปต่อที่ พนมเปญ ด้วยรถเที่ยวสายๆ ถึงพนมเปญบ่าย ๆ ก้อหาที่พัก เดินเล่น ดูนั่นดูนี่ ตามแต่เวลาและสถานที่จะอำนวย นอนที่พนมเปญสักคืน หรือถ้าไม่นอน 
ก้อหารถรอบดึกไปต่อโฮจิมินต์เลย ประหยัดค่าโรงแรมไปอีก 1 คืน ถึงโฮจิมินแล้ว
 ก้อถ้าเวลาได้ ก้อไปมุยเน่ ทะเลทราย เลย ค่อย กลับมา เก็บที่โฮจิมินต์
 แล้วบินกลับไทยในไฟท์เย็นๆ ถึง ดอนเมือง ประมาณ 1 ทุ่ม ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้ทำแผนไรมากนะคะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพอใจ และก้อสถานการณ์นั้นๆ ค่า แผนปรับเปลี่ยนได้ ชิว ชิว 

Advisor Angkor Villa
ส. 05 ม.ค., 2556 - อา. 06 ม.ค., 2556
1 คืน, 1 ห้อง
เข้าพักได้สูงสุด: ผู้ใหญ่ 1 คน
ข้อมูลห้องพัก
ห้องซิงเกิล - พัดลม
(Single with Fan)
THB 151.90 x 1 คืน THB 151.90
รวมค่าอาหารเช้า
ภาษีโรงแรมและค่าธรรมเนียมบริการx 1 คืน
THB 37.41
เงื่อนไขการจองห้องพัก
ยอดรวมทั้งหมด THB 189.31
(ราคารวมภาษีและค่าเซอร์วิสชาร์จแล้ว)

รวมค่าห้อง 1 คืนที่เสียมเรียบสำหรับคนเดียว 189.31 บาท พัดลม +อาหารเช้า ก้อโอนะ 
ทริปนี้เรากะใช้เงินตามแผนดังนี้ 
ค่ารถจากหมอชิตไปเสียมเรียบ 750 บาท
ค่ารถไปส่งโรงแรม ประมาณ 1-200 บาท
ค่าห้องพักที่เสียมเรียบ 1 คืน 2-300 บาท
ค่าเข้านครวัด + ทัวร์ + อื่นๆ ประมาณ 1000 บาท
ค่ารถไปพนมเปญ ประมาณ 500 บาท
ค่าโรงแรมที่พนมเปญ 3-500 บาท
ค่ากิน+ ค่ารถ ในพนมเปญ 2-300 บาท อิอิอิ
ค่ารถไปโฮจิมิน 500 บาทฃ
ค่าที่พักในโฮจิมิน 500 บาท
ค่ารถค่ากิน ในโฮจิมิน 3-500 บาท
รวมๆ เงินสดที่จะพกไปประมาณ 5000 บาท
แต่ ค่าโรงแรม 2-3 คืนในทริปนี้ คงจองล่วงหน้าไป ทำให้ไม่ต้องไปจ่ายที่นั่น อิอิอิอิ
ค่าเครื่องบิน ก้อ 2000++ ขากลับจากโฮจิมินมาไทย สรุป ตั๋วเครื่องบินกับโรงแรม แยกจ่าย พกไปใช้ 
3-5000 ก้อเหลือแหล่จร้าาาาา แต่ถ้ามีเพื่อนเพิ่ม หมายถึงว่า ค่าใช้จ่ายจะถูกลง 
เนื่องจากมีตัวหารนั่นเอง อิอิอิ




อิอิอิ เด๋วทำรีวิวต่อเลยจ้าาา เปิดประเด็นด้วยการนั่งรถพิดโลก ไปลงหมอชิต เรียกแท้กซี่ 
หารกับคนที่มารอแถวนั้นในตอนตี 5 ไปส่งที่หัวลำโพง คนละ ไม่ถึง 100 บาท แต่จริงๆ เหอะ หมอชิตช่วงเช้าเนี่ย แท้กซี่*** โครต หยิ่งอ่่ะ ถึงหัวลำโพงแล้วก้อดีอย่าง ที่ยังมีอาหารอิสลามให้เรากินได้ อิอิอิอิ ในระหว่างที่รอรถมารับไปเสียมเรียบ






หาไรรองท้องแล้วก้อ เดินไปรถรถที่หน้า KFC ด้านหลัง ทริปนี้เราใช้บริการ ของ CS and S inter travel หรือ http://www.csthailandguide.comเราจองตั๋วผ่านที่นี่ ในราคา 800 บาท รับที่หัวลำโพง 
ไปถึงด่านคลองลึก โรงเกลือ แล้วเปลี่ยนเป็นแท้กซี่แบบแชร์ไปถึงเสียมเรียบ และเมือถึงท่ารถเสียมเรียบ ก้อจะมีตุ้กตุ้ก รับไปส่งถึงโรงแรมฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ใด ๆ เพิ่มอีก ก้อโอนะ แถมตอนเข้าด่านก้อจะมีคนมาแนะนำดูแล พาไปส่งจนถึงท่ารถบัสไปเสียมเรียบ เพื่อไปขึ้นรถที่นั่น 
ทุกอย่างรวมในราคา 800 บาทเท่านั้น เจ๋งอ่าาา 



ออกเดินทางจากหัวลำโพง พร้อมชาวต่างชาติอีก 9 ชีวิต รถตู้พาเรามุ่งหน้าไปยังด่านคลองลึก
 เพื่อไปยังจุดนัดหมายจะมีเจ้าหน้าที่มาดูแลอีกต่อนึง พวกฝรั่งก้อทำวีซ่า สาวไทยหนึ่งเดียวไม่ต้องทำวีซ่า แต่ต้องกรอกใบผ่านแดนรอ อิอิอิอิ 


แล้วเจ้าหน้าที่ก้อพาเราไปต่อยังด่าน แต่เนื่องจากเราเป็นคนไทยคนเดียวของคณะ จึงต้องมารอต่อแถวก่อน เพราะวันนั้นแถวคนไทย ยาวมากกกกกกกกกกกก นานมากกกกกกกกกกกกกก 
กว่าจะได้เข้าไปปั๊มตรา ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรในการผ่านแดน ผ่านด่านไทย ก้อเดินไปด่านเขมร ออกมา จะอยู่ทางขวามือ สัก 200 เมตร



ออกจากด่านเขมรมารอคณะ ที่ตรงนี้จะมี ชัตเติ้ลบัสฟรี เพื่อไปยังสถานีขนส่ง เราจะไปเปลี่ยนรถเพื่อไปเสียมเรียบที่นั่น แต่ราคา 800 ที่เราจ่ายมาจากบริษัท นี่รวมไปจนส่งถึงที่พักในเสียมเรียบเลย เจ้าหน้าที่จะเอาสติ้กเกอร์มาให้เราติดว่า ใคร แท้กซี่ ใคร บัส ใคร แวน ราคาที่ซื้อมาจะต่างกันออกไป 



 สถานีขนส่งเพื่อไปเปลี่ยนรถไปเขมร มีร้านอาหาร น้ำดื่ม ที่แลกเงิน ห้องน้ำ ไว้บริการ สะอาดดี 
เราจะหาแลกเงิน ถามคนที่ดูแล เขาบอกว่า เขาชอบคนไทย ไม่ให้แลกที่นี่หรอก
เพราะที่นี่เขาหากินกับนักท่องเที่ยว คนดูแลบอกให้เราไปแลกในเสียมเรียบดีกว่า เรทดีกว่าเยอะ 
เราก้อเลย โอเค ตามนั้น อิอิอิอิ น่ารักดีเหมือนกันนะ คนดูแลเนี่ยยยยยยยยยยยย 



นี่คือรถแวน ที่เราได้ไปเสียมเรียบ อิอิอิ จากสถานีขนส่งไปสัก 2 ชม ก้อจะถึงเสียมเรียบ
 ว้าย ตื่่นเต้นอ่าาาา


ไปถึงเสียมเรียบก้อค่ำพอดี นึกๆ ในใจอยู่ว่า กูจะไปโรงแรมไงวะเนี่ย แต่ในราคา 800 นี้ 
รวมตุ้ก ตุ้ก ฟรี ย้ำว่า ฟรี ไปส่งให้ถึงโรงแรม มันคือแพคเกจ รวมจ้าาาาา ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ย้ำ ย้ำ จ้า




ไปหาโรงแรมที่พัก วนสักหน่อยเป็นพิธี แล้วก้อถึง อิอิอิ ห้องราคา 180 บาท ++ จองมาจากอโกด้า ก้อโอนะ พร้อมอาหารเช้าด้วย พัดลม ไวไฟต้องลงไปเล่นข้างล่าง ห้องอาบน้ำในตัว
 เริ่ด อ่าา 180 อิอิอิอิ



หลังจากเข้าที่พัก เราก้อให้ไอ้เด็กขับตุ้กตุ้กมันรอ เพราะเราอยากจะไปดูอัปสราแด้นซ์ มันแนะนำเราร้านนี้ เป็นบุฟเฟต์ เราไม่มีดอลล่าห์ หรือเงินเขมร เลยจ่ายเป็นเงินไทย 400 บาท แพงนะ
 แต่เราว่าก้อคุ้ม เพราะอาหารเยอะมากกกกกกกกกกกกก แถวมีโชว์ แบบจัดเต็มด้วย ทำให้เพลิดเพลินดีเหมือนกันแหละ



ว้าวววววว ว้าววววววววววววว อิอิอิ ตอนนี้ก้อเอาประวัติ เสียมเรียบไปอ่านกันซะหน่อย จะได้รู้ที่มาที่ไป 
เสียมราฐหรือชื่อท้องถิ่นว่า เสียมเรียบเป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศกัมพูชา ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ อยู่ริมฝั่งทะเลสาบเขมร ห่างจากกรุงพนมเปญ 314 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 5 ชั่วโมง

คำว่า \_เสียมเรียบ\_ ในภาษาเขมรนั้น หมายความว่า \_สยามราบ\_ คือ สยามแพ้ ส่วน \_เสียมราฐ\_ ในภาษาไทยนั้น หมายถึง \_ดินแดนของสยาม\_ เป็นที่เข้าใจว่า ชื่อ \_เสียมเรียบ\_ ตั้งขึ้นใหม่แทน \_เสียมราฐ\_ หลังจากที่ใน กรณีพิพาทอินโดจีน พันตรีแปลก พิบูลสงคราม ผู้บัญชาการกองทัพอีสานและบูรพาในขณะนั้น ได้เคยบุกข้ามชายเดนขับไล่ฝรั่งเศสออกจากดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง พระตะบอง และเสียมราฐ แต่แพ้

ปัจจุบันนี้ จังหวัดเสียมราฐเป็นที่รู้จักดีในฐานะเป็นที่ตั้งของนครวัด และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวโดดเด่นอีก อาทิ หมู่ปราสาทหินจากอาณาจักรขอม ได้แก่ ปราสาทนครวัด, กลุ่มปราสาทนครธม, (ตาพรหม และบายน, บันทายศรี, บากอง, โลเลย, พนมบาเค็ง, พนมกุเลน และ บารายตะวันตก

เมืองเอกของจังหวัดนี้ (เทียบได้กับอำเภอเมืองในจังหวัดของไทย) ก็มีชื่อว่า เสียมราฐ เช่นกัน โดยเมืองเสียมราฐนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของประเทศกัมพูชา แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมนครวัดประมาณ 1,600,000 คน




เสร็จโชว์แล้วก้อขึ้นไปประชันกะนางรำซะหน่อย อิอิอิอิ



แถมอีกภาพ ชอบ ชอบ เสร็จจากนี่แล้วเราก้อกลับไปนอนเอาแรงดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ไป นครวัด นครธม กันสักหน่อย อิอิอิ แล้วหาซื้อตั๋วรถไปพนมเปญด้วยยยยยยย 



กลับมาอาบน้ำ เปิดทีวีดู หลับไปสบายๆ อิอิอิ นอนคนเดียวนี่นา จัดเต็ม 555555 ตื่นมาแต่เช้าหน่อย ลงไปเคาน์เตอร์ข้างล่าง เก็บเป๋าเลย เพราะเราจะไปที่อังกอร์วัด ให้พนักงานจองตั๋วรถไปพนมเปญไว้ให้ ในราคา 9 ยูเอส ดอลล่า รถ บ่าย 2 ครึ่ง ถึงพนมเปญ ประมาณ 2 ทุ่ม เด๋วตอนบ่ายจะมีรถมารับไปขึ้นรถเลย ชิวชิว รวมเบ็ดเสร็จในราคาตั๋ว 
เลยหารถไปเที่ยวนครวัด ในราคา 13 ยูเอส แต่ถ้ามีเพื่อนหารก้อคงค่อยยังชั่วหน่อย แหะ แหะ ได้รถแล้ว เราก้ออกเดินทาง เย้ เย้ หาที่แลกเงินไทย เป็นดอลล่าห์ก่อนเพราะค่ารถก้อยังไม่ได้จ่าย ค่าตั๋วไปพนมเปญก้อยังไม่ได้จ่าย อิอิอิ ที่เสียมเรียบมีธนาคารกรุงไทยด้วยเด้อ เริ่ดอ่ะะ ขอบอกตู้ธนาคารเยอะมาก สมกับรองรับทุกๆ ประเทศเสียจริง ไปถึงนครวัด แล้วก้อไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าชม 20 ยูเอส แต่จริงๆ ไม่ซื้อก้อได้ สามารถขับยาวไปได้เลย แต่จะได้ดูแค่ข้างนอก ไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่เช็คตรวจตั๋วอยู่ อิอิอิ เขาถ่ายรูปติดบัตรให้เลย รูปสวยด้วยแหละ 


                   นครวัดสุดมลังเมลือง เจ๋งอ่าาา ใหญ่โตสมกับเป็น 1 ใน 7 มหัศจรรย์ ซะจริง


ปราสาทนครวัด
• ปีที่สร้าง : พุทธศตวรรษที่ 17 (พ.ศ. 1650 – 1693) 
• รัชสมัย : รัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2
• ศิลปะ : ศิลปะแบบนครวัด
• ศาสนา : ศาสนาฮินดู ไวษณพนิกาย 
• ปราสาทนครวัด ก่อสร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในพุทธศตวรรษที่ 17 (พ.ศ. 1650 – 1693) จุดประสงค์เพื่อสร้างอุทิศถวายแก่พระวิษณุเทพในศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ และยังใช้เป็นราชสุสานเก็บพระศพของพระองค์ ด้วยเหตุนี้มหาปราสาทนครวัดจึงถูกสร้างให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ต่างจากปราสาทอื่นๆ


นางอัปสร ในนครวัด โดนจับนม สังเกตได้จากความมันเลื่อม อิอิอิ ไม่ได้ทะลึ่งจ้าาา





                       เบื่้องหลังโชเฟอร์ อิอิอิ ออกจากนครวัด เราก้อไปต่อนครธม ดีกว่า อิอิอิ


นั่นเป็นประตูเข้านครธม ซึ่งจะมีหลายๆ ปราสาท รวมๆ อยู่ข้างใน แต่เนื่องด้วยเวลาอันจำกัด เราเลยไปอย่างที่เราจะไป โก โก โก


นครธมและปราสาทบายน
• ปีที่สร้าง : สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 18
• รัชสมัย : รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 
• ศิลปะ : เป็นศิลปะแบบบายน
• ศาสนา : ศาสนาพุทธนิกายมหายาน
• นครธมมีความหมายว่าเมืองใหญ่ (ธม แปลว่า ใหญ่) เมืองพระนครหลวงมีพระราชวังและปราสาทต่างๆมากมาย และเป็นช่วงเวลาที่อาณาจักรขอมมั่งคั่งและรุ่งโรจน์เป็นที่สุด
• ปราสาทบายนสร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 18 รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นศิลปะแบบบายน ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ปราสาทบายนเป็นปราสาทหลวงประจำรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7


                      ปราสาทบายนเป็นเป้าหมายแรกในนครธมของเรา อิอิอิ เจ๋งอ่าาาา ชอบ

ลวดลายบนกำแพง ที่บายนจะมีเยอะเป็นพิเศษ เป็นรุปการต่อสู้ เรียกว่า การประดั่น 

เฮ้อ แฮปปี้เจง ๆ วันนี้ วันที่เรากำลังจะครบ 35 แหะ แหะ ให้ของขวัญตัวเอง
 เป็นเขมร 1 ทริป ก้อเข้าท่าดีนะ 


ไปต่อดีว่า ที่ปราสาทบาปวน
ปราสาทบาปวน
• ปีที่สร้าง : สร้างในปีต้นพุทธศตวรรษที่ 17 (พ.ศ. 1603) 
• รัชสมัย : รัชสมัยของพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 
• ศิลปะ : เป็นศิลปะแบบบาปวน
• ศาสนา :ศาสนาฮินดู
• ปราสาทบาปวน จัดเป็นปราสาทแรกในกลุ่มปราสาทเมืองพระนคร มีทางเดินผ่านตัวปราสาทเป็นสะพานหินยกระดับทอดยาว ทางเดินเข้าผ่านโคปุระรูปกากบาท 3 ทาง ตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ที่ตั้งของปราสาทอยู่ในเขตพระราชวังหลวง เป็นปราสาทที่มียอดสูง มีหลักฐานจากการบันทึกของจิวต้ากวนราชทูตจากเมืองจีนในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 กล่าวไว้ว่า ยอดปราสาทบาปวนเคลือบด้วยสำริดแลอร่ามแต่ไกล หากยอดไม่หักพังเสียก่อน คาดว่าปราสาทบาปวนอาจมีความสูงกว่าปราสาทพิมานอากาศ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน ปัจจุบันนี้ปราสาททรุดโทรมมากและกำลังได้รับการบูรณะอย่างต่อเนื่อง
• สะพานยกระดับอยู่องค์ปราสาท ทางเข้าจากโคปุระทิศตะวันออกมีสะพานยกระดับ ด้านล่างมีเสากลมรองรับทางเดินสู่ไปปรางค์ประธาน
• ภาพสลัก เช่น ภาพการล่าสัตว์ การต่อสู้ระหว่างนักรบ บนโคปุระทางเข้าและระเบียงคตของตัวปราสาทด้วยศิลปะแบบบาปวน




ในบริเวณปราสาทบาปวนก้อจะมีสถานที่ต่างๆ ใกล้ๆ เดินไปชมได้เหมือนกัน เช่น 
ลานช้าง
• ปีที่สร้าง : สร้างในต้นพุทธศตวรรษที่ 18 
• รัชสมัย : รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และมีการบูรณะเพิ่มเติมสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 
• ศิลปะ : เป็นศิลปะแบบบายน
• ศาสนา : ศาสนาพุทธนิกายมหายาน 
• ลานช้าง ตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองพระนครหลวง หันหน้าเข้าสู่ลานกว้างเรียกว่าสนามหลวง ลักษณะเป็นระเบียงยาวประมาณ 350 เมตร สูงจากพื้น 3 เมตร ผนังฐานพลับพลาสร้างด้วยหินสลักเป็นรูปช้างและครุฑพ่าห์พื้นพลับพลาเป็นหินตั้งอยู่ด้านหน้าประตูพระราชวังมีมุขยื่นออกมาทั้งสองด้าน คือมุขช้างเอราวัณและมุขรูปครุฑพ่าห์มีบันไดขึ้นลงได้ 5 ทาง บันไดใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นทางพระราชดำเนินที่จะใช้ลงไปยังสนามหลวงของพระมหากษัตริย์เท่านั้น
• จุดประสงค์ของการสร้างลานช้าง เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับพระมหากษัตริย์นั่งทอดพระเนตรการสวนสนาม การซ้อมรบ และการเฉลิมฉลองต่างๆ ตลอดจนการต้อนรับพระราชอาคันตุกะ
• ภาพสลักนูนสูงรูปช้างและครุฑ ฐานระเบียงมีภาพสลักนูนสูงเป็นรูปช้างตลอดแนว เรียกว่า ลานช้าง และมีภาพครุฑแบกที่สวยงามเรียกว่าระเบียงครุฑหรือลานพระเกียรติ
• ภาพสลักนูนสูงรูปม้าห้าหัว ด้านทิศเหนือของลานช้างบริเวณใกล้ฐานลานพระเจ้าขี้เรื้อน มีภาพม้าห้าหัวหรือม้าพลาหะอันเป็นอวตารปางหนึ่งของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่คอยช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากปีศาจร้าย
• ภาพสลักนูนสูงรูปหงส์ ทางด้านทิศตะวันออกตรงข้ามกับทางเข้าประตูชัยของนครธม มีภาพสลักรูปหงส์ และบนฐานลานช้าง ถ้ามองไปยังทิศตะวันตก จะพบโคปุระซึ่งนำไปสู่ปราสาทพิมานอากาศและพระราชวังหลวง


แล้วก้อไปต่อที่ปราสามตาพรหม ที่มีรากไม้เยอะๆ น่ะแหละ ที่ปราสาท ห่างจาก บาปวน  พอสมควร แต่ก้อเลือกว่า ต้องไปก่อนตามแผน อิอิอิอิ 



ปราสาทตาพรหม
• ปีที่สร้าง : สร้างในปลายปีพุทธศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 1729) 
• รัชสมัย : รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และมีการขยายพื้นที่สร้างต่อเติมอีกในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 
• ศิลปะ : เป็นศิลปะแบบบายน 
• ศาสนา : ศาสนาพุทธ นิกายมหายาน
• ปราสาทตาพรหมจัดได้ว่าเป็นวัดในพุทธศาสนาและเป็นวิหารหลวงในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทางเข้าประกอบด้วยโคปุระชั้นนอกและชั้นใน บริเวณผนังที่อยู่เชื่อมระหว่างโคปุระชั้นนอกและชั้นในมีการสลักภาพตามคติธรรมของพุทธศาสนานิกายมหายาน ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1729 เพื่ออุทิศให้แก่พระราชมารดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 คือพระนางชัยราชจุฑามณีผู้เปรียบประดุจกับพระนางปรัชญาปรมิตา ซึ่งหมายถึงเมื่อพระองค์เป็นอวตารของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระราชมารดาของพระองค์จึงเปรียบดังพระนางปรมิตาเช่นกัน
• ปราสาทตาพรหมถูกสร้างเคียงคู่กับปราสาทพระขรรค์ ซึ่งพระองค์ทรงถวายอุทิศให้กับพระราชบิดา ปราสาทตาพรหมนี้สร้างหลังปราสาทพระขรรค์เพียง 5 ปี ที่น่าประหลาดใจคือพิธีในปราสาทยุคนั้น ซึ่งจารึกกล่าวถึงบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างปราสาทแห่งนี้คือ จำนวนคนและบรรดาทรัพย์สินจากหมู่บ้านจำนวนถึง 3,140 หมู่บ้าน ใช้คนทำงานถึง 79,365 คน และจำนวนนี้มีพระชั้นผู้ใหญ่ 18 รูป เจ้าหน้าที่ประกอบพิธี 2,740 คน ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ประกอบพิธี 2,202 คน และนางฟ้อนรำอีก 615 คน สำหรับทรัพย์สมบัติของวัดก็มีจานทองตำ 1 ชุดหนักกว่า 500 กิโลกรัม และชุดเงินเพชร 35 เม็ด ไข่มุก 40,620 เม็ด หินมีค่าและพลอยต่างๆ 4,540 เม็ด อ่างทองคำขนาดใหญ่ ผ้าบางสำหรับคลุมหน้าจากประเทศจีน 876 ผืน เตียงคลุมด้วยผ้าไหม 512 เตียง ร่ม 523 คัน ยังมีเนย นม น้ำอ้อย น้ำผึ้ง ไม้จันทน์ การบูร เสื้อผ้า 2,387 ชุดเพื่อแต่ง รูปปั้นต่างๆ กล่าวกันว่าความฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อนี้เองเป็นเหตุให้เกิดความล่มสลายของอาณาจักรขอมในเวลาต่อมา
• ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่ถูกปล่อยให้อยู่กับธรรมชาติ หลังจากการค้นพบปราสาทต่างๆ โดยชาวฝรั่งเศส แต่เดิมปราสาทนครวัดเองก็อยู่ในลักษณะเช่นนี้ก่อนที่จะมีการบูรณะในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ในขณะที่ปราสาทตาพรหม ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อให้เห็นสภาพที่แท้จริงว่าปราสาทอยู่กับธรรมชาติมาได้เกือบ 500 ปี อันเป็นอีกมุมมองหนึ่ง เพื่อให้เห็นลักษณะของต้นไม้ที่เกาะกุมปราสาท
• เดิมก่อนสร้างปราสาทนั้นสภาพบริเวณนี้เป็นป่ามาก่อน เมื่อจะสร้างปราสาทจึงต้องเคลียร์พื้นที่ให้เป็นที่โล่ง โดยการตัดไม้ออกแต่ในที่สุดแล้วธรรมชาติก็สามารถที่จะเอาชนะถาวรวัตถุที่ถูกสร้างจากมนุษย์ ต้นไม้ที่เกาะกุม ชอนไชไปเรื่อยๆ ไปยังส่วนต่างๆของปราสาท ช่วยให้บรรยากาศของปราสาทตาพรหมดูลึกลับ สวย ไม่เหมือนปราสาทที่อื่นๆ
• ที่ปราสาทตาพรหมมีต้นไม้อยู่ 2 ชนิด ต้นที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า ต้นสะปง หรือภาษาไทยเรียกว่า ต้นสำโรง เป็นต้นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อน รกของมันจะดุดน้ำใต้ดินเข้าลำต้นทำให้นกดูป่อง พอง ส่วนพันธุ์ไม้อีกพันธุ์หนึ่งเป็นไม้เลื้อยขึ้นอยู่ตามหน้าบัน ทับหลังหรือตัวปราสาท หลังคา ลักษณะเป็นไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก บ้างก็แห้งตายคาอยู่ บ้างก็ยังเขียวสดอยู่ เกิดจากการที่นกมาขับถ่ายมูลที่มีเมล็ดของพันธุ์นี้ทิ้งไว้ บริเวณใดของปราสาทที่มีน้ำขังอยู่มีตะไคร่น้ำที่ให้ความชุ่มชื้น ก็สามารถทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเป็นต้นได้ ทั้งไม้เล็กและไม้ใหญ่ต่างเติบโตตามสภาวะที่เอื้ออำนวยรากของไม้ใหญ่ที่แทรกชอนไชไปบนแผ่นศิลา เพื่อจะหาที่ลงดินเกิดเป็นรูปทรงคล้ายหนวดปลาหมึกเกาะกุมองค์ปราสาททำให้ช่วยประคองยึดตัวปราสาทไม่ให้พังลงมาได้
• จากโคปุระทางทิศตะวันออกมุ่งสู่ปรางค์ประธาน ผนังด้านซ้ายมือจะเป็นภาพสลักของคติธรรมทางพุทธศาสนาตอนพระแม่ธรณีบีบมวยผม ซึ่งเป็นตอนที่มารมาผจญเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ลักษระภาพจะเห็นบรรดาเหล่าพญามารต่างตื่นตกใจหนีกระแสน้ำที่เกิดจากการบีบมวยผมของพระแม่ธรณีจนพ่ายแพ้ไปในที่สุด
หลังจากโคปุระทางด้านทิศตะวันออกจะมีบรรณาลัยที่อยู่ทางซ้ายมือ หน้าบันเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ประดับด้วยพวงมาลัย ทับหลังเป็นภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์
• หน้าบันและทับหลัง ตามปรางค์ปราสาทและโคปุระ มีภาพสลักล้วนแต่เกี่ยวกับพุทธประวัติ นิกายมหายานเป็นส่วนใหญ่น่าเสียดายว่าภาพสลักบางภาพได้ถูกดัดแปลงให้เป็นภาพเกี่ยวกับศาสนาฮินดูไปในที่สุด ได้แก่พระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้าที่ถูกสกัดให้เป็นศิวลึงค์ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ที่ทรงเลื่อมใสในศาสนาฮินดู
• ทางเข้าสู่ปรางค์ประธานจะอยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเช่นเดียวกับในหลายๆ ปราสาท ทว่าปัจจุบันมีถนนตัดผ่านทั้ง 2 ทิศ นักท่องเที่ยวนิยมเข้าทางทิศตะวันตก ถ้าเป็นไปได้ควรจะเข้าทางโคปุระทางทิศตะวันออก อันเป็นคตินิยมของผู้สร้างปราสาททุกแห่งของขอม
ถัดจากบรรณาลัยจะได้พบวิหารเล็กๆ ซึ่งใช้เป็นที่ประกอบพีธีของพวกพราหมณ์ ซึ่งวิหารนี้จะมีการจุดไฟบูชาตลอดทั้งวันทั้งคืน ภูมิสถาปัตย์เช่นเดียวกับปราสาทพระขรรค์ ปรางค์ทางด้านทิศเหนือได้พังทลายลงมาหมดแล้ว เห็นแต่เพียงซากของเสา หน้าบันและทับหลังทับกันระเกะระกะ
• ทางก่อนจะเข้าโคปุระชั้นที่ 3 จะพบต้นสะปงขนาดใหญ่ ขึ้นปกคลุมตรงส่วนกลางของปราสาทแห่งนี้ ลำต้นขึ้นอยู่บนหลังคา โดยมีรากโอบอุ้มตัวปราสาทอยู่ก่อนจะไชลงพื้นดิน เป็นมุมที่นิยมมาถ่ายมาก
• หน้าบันที่อยู่ถัดจากปรางค์ประธาน เป็นภาพเรื่องรามเกียรติ์ตอนพระลักษณ์ พระราม และนางสีดาถูกขับไล่ออกจากเมือง จะเห็นพระรามเสด็จออกโดยมีม้าเป็นพาหนะ มีไพร่ฟ้าประชาชนตามส่งเสด็จที่สะดุดตาและแปลกคือภาพสลักข้างเสากรอบประตูของโคปุระชั้นที่ 3 ด้านทิศตะวันตก มีภาพสลักคล้ายไดโนเสาร์อยู่ 1 ตัว เมื่อเดินมาสุดทางที่จะออกปราสาทตาพรหม ก็จะพบโคปุระซึ่งมีลักษณะคล้ายทางเข้าสู่กำแพงเมืองนครธมแห่งเมืองพระนครนั่น คือภาพใบหน้าของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทั้ง 4 ทิศ อยู่เหนือโคปุระนั้น


คืออยากจะไปถ่ายรูปใกล้อ่ะนะ แต่คนเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่รู้จะไปไหนกันนักหนา ขี้เกียจไปรอคิว ก้อถ่ายมันซะมุมนี้ซะเลย อิอิ





ได้เวลาละ กลับออกจากปราสาทตาพรหมดีกว่ า 
กลับไปโรงแรมเพราะเด๋วรถมารับไปพนมเปญ เย้ เย้ 


เราไปพนมเปญโดยรถตู้ วิ่งยาวเลย ในราคา 9 ยูเอส ก้อโอนะ ไปถึงพนมเปญ ค่ำๆ หารถไปส่งในโรงแรม ในราคา 2 ยูเอส อย่แถวพระราชวังพนมเปญ ถึงพนมเปญ ก้อเออเนอะ ดีที่ว่าที่พัก
 มีร้านอาหาร เลยสั่งเบียร์เขมร มากิน 1 ขวด ขำ ขำ ลองดู 


ห้องพักที่ คาวีเกสเฮ้าส์ 180 บาท ขำ ขำ พัดลม ห้องน้ำรวม แต่ที่นอนสะอาดดี แต่ดีที่ว่า 
จากที่นี่ เราสามารถซื้อตั๋วไปโฮจิมินได้เลย 



กรุงพนมเปญ (เขมร: ភ្នំពេញ ภฺนํเพญ ออกเสียงว่า พนุมปึญ) (อีกชื่อหนึ่งคือ ราชธานีพนมเปญ) เป็นเมืองหลวงของประเทศกัมพูชา และยังเป็นเมืองหลวงของนครหลวงพนมเปญด้วย ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า ไข่มุกแห่งเอเชีย (เมื่อคริสต์ทศวรรษ 1920 พร้อมกับเมืองเสียมราฐ) นับเป็นเมืองที่เป็นเป้าการท่องเที่ยวทั้งจากผู้คนในประเทศ และจากต่างประเทศ พนมเปญยังมีชื่อเสียงในฐานะที่มีสถาปัตยกรรมแบบเขมรดั้งเดิม และแบบได้รับอิทธิพลฝรั่งเศส และผู้คนมีอัธยาศัยดี
กรุงพนมเปญ เป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยจังหวัดกันดาล และเป็นเมืองศูนย์กลางการค้า การเมือง 

และวัฒนธรรมของกัมพูชา มีประชากรถึง 2 ล้านคน จากประชากรทั้งประเทศ 15.2 ล้านคน
เนื้อหา [ซ่อน]
1 การคมนาคม
2 การศึกษา
3 อ้างอิง
4 แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]การคมนาคม

การเดินทางในพนมเปญใช้รถตุ๊กตุ๊กและรถจักรยานยนต์ เมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เริ่มมี บริษัท มายลิง โอเพ่นทัวร์ (Mai Linh Open Tou) จากเวียดนามมาบริการแท๊กซี่มิเตอร์หลังคาสีเขียว จะคิดค่าบริการเริ่มต้นที่ 1.50 ดอลลาร์ [1]
[แก้]การศึกษา

กรุงพนมเปญ เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยพนมเปญ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของประเทศกัมพูชา ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1960 เป็นสถาบันที่เปิดสอนทางด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ





ถึงพนมเปญเราก้อพักผ่อนเอาแรง อิอิอิ ตื่นแต่เช้าหน่อย เพื่อจองตั๋วรถแล้วหารถไปทุ่งสังหาร 
ไปดูประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่ทุ่งสังหาร แต่ก่อนอื่นก้อหาไรกินก่อนดีกว่า
 ได้ Cambodia Amok 1 ชุด อิอิอิ อาหารเช้า 3 ยูเอส ประมาณเนี้ย รสชาติเหมือน ห่อหมก อ่าาาา 



จากโรงแรมข้างหน้าจะเป็นสวนสาธารณะเลย เดินเล่นชิวๆ ได้ เราก้อเดินซะ 1 รอบ
 วนไปทางแม่น้ำด้วย ขำ ขำ อ่า เช้าๆ อย่างนี้อากาศไม่ร้อน เพราะเมือคืนฝนตกด้วยแหละ 




เดินไปเรื่อย ดูวัด ดูวัง ดูนั่นดูนี่ อนุสาวรีย์ผู้เสียสละ และอื่นๆ ชิวชิว ก้อกลับเข้าซอยโรงแรมไปเพราะนัดรถมอไซค์ที่เหมาไว้ 10 ยูเอส ไปทุ่งสังหาร แล้วจะกลับมาตอนบ่าาย เพื่อรอรถมารับไปขึ้นรถบัส ไปโฮจิมิน เวียดนาม ในราคา 13 ยูเอส ไปลงที่ถนนฟาร์มงูเหลา ใกล้ๆ โรงแรมที่เราจองไว้เลย





ออกจากโรงแรม โดยมอไซค์รับจ้าง ไปทุ่งสังหาร อิอิอิ รถเก่า คนขับแก่ คนซ้อนอ้วน
 เอาล่ะมึง     งานนี้ 555555555555 ว่าแล้วลุงก้อพาชิวไปโลด




ถึงแล้ว ค่าตั๋วเข้า 5 ยูเอส มีหูฟังพร้อมเสียงบรรยายทุกภาษาให้ด้วย เริ่มเดินกันไปเป็นจุดๆ ฟังไปก้อน้ำตาไหลไปนะ หดหู่จัง สำหรับคนไทย  ซาวน์ด จะเป็นภาษาอังกฤษนะคะ  เห็นเขาบอกว่ามีภาษาไทยด้วย  แต่เจ้าหน้าไม่ยักกะเอามาให้เรา  เลยเดินไป ฟังไป แปลไป  ไม่เข้าใจ กรอฟังใหม่อีกรอบ อิอิอิ  
ใครจะฟังภาษาไทย ลองถามเขาดูเน้อ 



3 ล้านกว่า น่าจะได้ ที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธ์โดยฝ่ายเขมรแดง กี่ชีวิตต้องสังเวย มันยากจะทำใจ
 เมื่อได้รับรู้ว่า มนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน



      คอกที่เห็นล้อมไว้ เมื่อก่อนเขาจะขุดเป็นหลุมขนาดใหญ่ไว้โยนศพผู้เสียชีวิตทิ้งไป



  ต้นไม้ฆ่าเด็ก เขาจะจับเด็กฟาดกับต้นไม้ จนตายแล้วโยนลงหลุม ไม่อยากคิดเลยอ่าา น้ำตาจะไหล



               เดินไปรอบๆ จะมีจุดชมไปเรื่อยๆ จบรอบเราก้อไปดูพิพิธภัณฑ์ กันซะหน่อย 



ดูเสร็จ คืนชุดหูฟัง นั่งรถกลับด้วยความเศร้าใจ ยากที่จะเชื่อ แต่มันก้อเกิดไปแล้ว เขมรฆ่าเขมร 
ท่อนหนึ่งในชุดบรรยาย ยังคงดังก้องกังวานอยู่ในหัวเรา



กลับถึงโรงแรม ก้อรอรถมารับไปขึ้นรถบัสที่ไปโฮจิมินต์ นั่งตามเลขที่บัตรที่เขาระบุไว้ แอร์เย็นดี มีทีวีให้ดู แต่บรรยายเป็นภาษาเวียดนามจ้าา อิอิอิ ดีที่มีซับเป็นอังกฤษนะ อิอิอิ ออกจากท่าแล้ว ขับไปเรื่อยๆ ก้อไปข้ามโป๊ะ ไปอีกฝั่งเตรียมจะผ่านเข้าเวียดนาม แวะกินข้าว 1 ครั้ง แล้วจะยาวไปด่านกันเลย

ผ่านด่านทั้งเขมร เวียดนาม เด็กรถเขาจะเก็บพาสปอร์ตเราไว้เลย แล้วตอนไปรอเจ้าหน้าที่ เขาจะเรียกชื่อกันไป จนเสร็จทั้งสองด่านแลหะ เขาถึงจะคืนให้ มาถึงถนนฟาร์มงูเหลา ตอน 3 ทุ่ม รถจอดที่จอดรถ เดินข้ามถนนไปก้อ ฟาร์มงูเหลาแหละ เดินวนหลงซะก่อน 1 รอบ เป็นพิธี จนเจอโรงแรมแหละ ไซง่อน ยูท โฮสเทล ราคา 16 ยูเอส ชอบห้องอ่าา 



หลังจากตื่นนอน ก้อรีบอาบน้ำ วันนี้ต้องไปสำรวจรอบโฮจิมิน ก่อนที่จะต้องบินกลับไทยในตอนเย็น 
เออ ว๊อยยยย มาจนได้นะเรา อิอิอิ สมกับเป็นวันพิเศษจริงๆ 



เดินกันไปเรื่อยๆ อย่างไม่กลัวหลง 5555555 จะกลัวไม เพราะก็หลงอยู่แล้ว ถามไปจิ้มแผนที่ไป 
สนุกดีจัง อิอิอิอิ



ว้่าว ว้าว ว้าว เดินมาตามโพย ในที่สุด นั่นอะไร เอ๊ะ นั่นอะไร โบสถ์ นอร์ทเทรอดาม ที่ตามหา อิอิอิอิ เจอแว้วววว




มาคนเดียวก้อถ่ายตามประสา แหะ แหะ 



                                           ไปดูด้านในโบสถ์กันดีกว่า สวยๆ สวย 



                                ถัดไปใกล้กันๆ ก้อเป็นไปรษณีย์โฮจิมินต์ อลังการอยู่นา ข้างในอ่าา


                    อำลากันอีกสักช๊อต ก่อนจะกางโพยแล้วไปต่อ จากนี้เราก้อจะไปโอเปร่าเฮ้าส์ 


โอเปร่าเฮ้าส์ ยังใช้การได้อยู่นะ มีบ่าวสาวมาพรีเวดดิ้งอีกตะหาก อิอิอิ อิจฉาวุ้ยยย 
หนุ่มฝรั่ง กะสาวเวียดนาม 



ตรงข้ามโอเปร่า มีสวนแสดงประวัติคนสำคัญของโฮจิมิน อยู่ มีนักร้องเวียดนาม 
มาถ่ายทำมิวสิควิดิโอด้วยแหละ อิอิอิอิ น่ารักดี 



จากโอเปร่า เราก้อเดินไปเรื่อยๆ จะไปตลาดเบนถัน แล้วว่าจะกลับโรงแรมไปอาบน้ำ หลับสักตื่น 
เตรียมตัวเช๊คเอ้าท์ ไปสนามบิน จะได้กลับบ้านซะที นะ หลังจากรอนแรมมาหลายคืน 
อิอิอิอิ คนพเนจร 



ออกจากตลาดเบนถัน หลังจากฟาดฟันกับแม่ค้าไป ได้ของฝาก หม่าม๊า นิดหน่อย อิอิอิ สบายใจ 
ก้อเดินกลับที่พักไป ผ่านสวนสาธารณะ เลาะกันไป 



อาบน้าเก็บข้าวของ เฮ้อ อำลาโฮจิมิน ด้วยความหวังว่า คราวหน้าจะมาอีกจ้าาาาาา อิอิอิ 
ให้โรงแรมเรียกรถให้ ขี้เกียจขึ้นรถเมล์ ไม่อยากจ่ายค่าแท้กซี่ก้อไปรถเมล์ได้ สาย 152 
เดินไปขึ้นตรงที่จอดรถน่ะแหละ 


                                                      ระหว่างทางก้อว่ากันไป






ถึงสนามบิน รอเช็คอิน ที่นี่ให้เช็คอินก่อนบินไม่มีเช็คอินล่วงหน้าจ้า ยืนรอกันไปเถอะ อิอิอิ ขึ้นไปหาไรกิน ชั้นสอง ได้ข้าวเป็ดย่าง 8 ยูเอส โครตพ่อง ข้าว ค่าแรงวันหนึ่งเลยนะเนี่ย ฮ่วยยยย นั่งชิวดูนั่นดูนี่ ก่อนจะไปเกท เตรียมขึ้นเครื่อง อิอิอิ 




บ้ายบายล่ะจ้า โฮจิมิน เด๋วกลับมาใหม่ เวียดนาม แต่คงต้องแบ่งความรักไปที่อื่นบ้างนะ อิอิ รัสเซีย กะตุรกียังรออยู่จ้า เม ย หลังจากนั้นเราจะไปตามหาหัวใจที่โมร๊อคโค ............. เพราะใครบางคนขโมยหัวใจเราไปแล้ววววววววววววววววววววว 




สิ่งที่เศร้าที่สุดก้อคือการพลัดพรากจากคนที่เรารัก .............. แต่วันนี้สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดในชีวิตเราของวันนี้ ก้อคือการที่ได้รู้ว่า คนฆ่าคนด้วยกันเองอย่างโหดร้ายและป่าเถื่อนที่สุด ชาวเขมร กว่า 3 ล้านคน ต้องพบจุดจบอย่างน่าเวทนา ไม่เลือกแม้แต่ เด็ก คนชรา คนพิการ ผู้หญิง ผู้ชาย ทุกคนมีสิทธิ์ตายอย่างเท่ากัน ..................
ความเจ็บปวดใดเล่า เท่าที่รู้ว่า คนในชาติกำลังฆ่ากันเอง ........................................ 









ดอกไม้ทะเลทราย